ข้อควรระวังในการล้างรถเอง เคลือบแก้ว VS ไม่เคลือบแก้ว
- ต.ค. 25, 2017
- 0
- ข้อมูลความรู้ บทความ
การล้างทำความสะอาดรถ เป็นเรื่องที่หลายๆ คนยอมรับว่าเป็นงานที่เหนื่อยและหนัก อีกทั้งมันเป็นกิจกรรมที่พรากเวลาในการพักผ่อนช่วงวันหยุดของเราไป แทนที่จะได้พักผ่อนก็ต้องมาล้างทำความสะอาดรถที่เปรอะเปื้อนคราบสกปรกจากการใช้งานมาสารพัด การ ล้างรถเอง ไม่ได้เรียบง่าย มันมีขั้นตอนที่ต้องให้ความสำคัญและใส่ใจหลายขั้นตอน ทำให้มันเป็นงานที่ไม่ง่าย มีคำแนะนำว่า หากต้องการล้างรถได้ง่ายขึ้นให้ทำ เคลือบแก้ว แต่เรื่องนี้มันเป็นจริงหรือไม่ เราลองมาเปรียบเทียบกันดูว่าในการ ล้างรถเคลือบแก้ว กับการรถที่ไม่ได้ทำ เคลือบแก้ว มานั้น มันมีข้อควรระวังที่แตกต่างกันอย่างไร เพื่อจะได้นำมาเป็นข้อมูลตัดสินใจว่าควรไปเสริมผิวรถด้วย น้ำยาเคลือบแก้ว ดีหรือไม่…
ทำไมต้องเปรียบเทียบการเคลือบแก้วกับในเรื่องข้อควรระวังในการล้างรถ…
เหตุผลที่ต้องเอาเฉพาะเรื่องข้อควรระวังมาใช้ในการเปรียบเทียบ ระหว่าง รถเคลือบแก้ว กับ รถที่ไม่ได้ทำ เคลือบแก้ว มานั้น ก็เพราะว่า มันทำให้เราเห็นความง่ายความยากของรถทั้งสองแบบได้ง่าย และสามารถตัดสินใจได้ว่า ข้อดีจากการลงเคลือบผิวรถด้วย น้ำยาเคลือบแก้ว นั้น มันสามารถช่วยเราได้ในเรื่องที่เราต้องการจริงหรือไม่ มันมีความคุ้มค่าคุ้มราคา ที่เราควรจะทำไหม และหากทำแล้วมันทำให้เราได้ประโยชน์อย่างไร การพิจารณากันในเรื่องปัญหาสิ่งที่ควรระวังในการล้างรถ จึงเป็นเรื่องที่เห็นได้ง่ายกว่าการบอกเฉพาะข้อดีมาเปรียบเทียบกัน
ข้อควรระวังในการล้างรถที่ เคลือบแก้ว VS ไม่ได้เคลือบแก้ว
-
ฝุ่นผงที่อยู่บนผิวรถ
รถไม่ได้เคลือบแก้ว : ต้องระวังให้มาก เพราะฝุ่นผงที่ตกค้างมีเศษทรายเล็กๆ ซึ่งมันมีความแข็งมากกว่าผิวของรถแน่นอน หากไม่ใช้น้ำฉีดแรงๆ จนออกไปหมดแล้วเผลอไปขัดถู ก็เหมือนเปลี่ยนผ้าหรือฟองน้ำให้เป็นกระดาษทราย สร้างรอยขีดข่วนบนผิวรถให้เกิดขึ้นได้แน่นอน
รถเคลือบแก้ว : ต้องระวังเช่นกัน แต่ไม่มากนัก เพราะที่ผิวของรถมีชั้นฟิล์มที่มีความแข็งเคลือบอยู่ (ขึ้นอยู่กับระดับความแข็งและความหนาของ เคลือบแก้ว ที่เราเลือกใช้บริการด้วย) การฉีดน้ำแรงๆ ให้ทั่วก่อนเป็นวิธีที่ดีที่สุด
-
การขัดถูเอาสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ให้หลุดออกจากผิวสีรถ เช่น ยางมะตอย ซากแมลง มูลนก ยางไม้ ฯลฯ.
รถไม่ได้เคลือบแก้ว : การทำความสะอาดต้องระวังมาก การขัดถูแรงเกินไปทำให้เกิดรอยบนผิวรถได้ ควรใช้น้ำยาขจัดคราบสิ่งสกปรกแบบเฉพาะประเภทมาช่วย เพื่อให้มันหลุดออก แต่การใช้สารเหล่านั้นก็ต้องระวังและศึกษาให้ดี เพราะส่วนมากมีส่วนผสมของตัวทำละลาย ที่ส่งผลต่อสีรถของเราด้วยเช่นกัน
รถเคลือบแก้ว : ไม่ต้องระวังมากนัก เพราะสิ่งสกปรกเหล่านั้นไม่ได้ติดหรือยึดเกาะกับผิวสีแท้ของรถ มันติดอยู่บนชั้นฟิล์มใส ซึ่งมีคุณสมบัติด้านความลื่น ไม่ต้องออกแรงมากก็เช็ดให้หลุดออกได้ โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้สารทำความสะอาดมาช่วย ก็สามารถทำให้มันหลุดออกจนหมด
-
การเช็ดผิวให้แห้งหลังจากการล้างเสร็จ
รถไม่ได้เคลือบแก้ว : เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยให้หยดน้ำคราบน้ำแห้งไปเอง เพราะมันจะกลายเป็นรอยคราบที่เรียกว่า สนิมน้ำ มีลักษณะเป็นฝ้าสีขาวๆ ซึ่งทำความสะอาดได้ยาก เมื่อล้างเสร็จต้องรีบเช็ดให้แห้งทั่วทั้งคันโดยเร็ว
รถเคลือบแก้ว : เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะโดยปกติ หยดน้ำไม่เกาะที่ผิวของรถอยู่แล้ว เนื่องจากมันมีคุณสมบัติต่อต้านการยึดเกาะของน้ำ ไฮโดรโฟบิก (hydrophobic) ที่มีใน น้ำยาเคลือบแก้ว ทำให้ผิวรถมีลักษณะเป็นโมเลกุลไม่มีขั้วจึงไม่สามารถยึดเกาะกับโมเลกุลของน้ำได้ ดังนั้นไม่มีปัญหาเรื่องต้องเร่งรีบขจัดคราบน้ำออกให้หมด ถึงเหลืออยู่ก็ซับเล็กน้อยก็หายไปหมดแล้ว
-
การขัดเคลือบผิวเพิ่มด้วยแวกซ์
รถไม่ได้เคลือบแก้ว : ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะการเคลือบแวกซ์ไม่เพียงจะช่วยให้รถมีความมันวาวสวยงาม แต่มันเป็นการเสริมผิวด้วยชั้นของแวกซ์ ช่วยในการปกป้องผิวแท้ของรถเอาไว้ แต่อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้มีคุณสมบัติด้านความแข็งเหมือนการทำ เคลือบแก้ว ช่วยในเรื่องการป้องกันการเกาะติดของสิ่งสกปรกได้ในระดับหนึ่ง ในช่วงที่แวกซ์ยังไม่หลุดออกไป
รถเคลือบแก้ว : จะไม่ทำการเคลือบแวกซ์ก็ได้ เพราะรถมีชั้นฟิล์มใสที่มีประสิทธิภาพในเรื่องความแข็งและความลื่นคลุมอยู่แล้ว แต่หากอยากจะเพิ่มความมันวาวแต่งความสวยก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ไม่ถึงขั้นมีความจำเป็น
นี่เป็นการเอาเรื่องที่ควรระวังในการ ล้างรถเอง ระหว่างการ ล้างรถเคลือบแก้ว กับรถที่ไม่ได้ทำ เคลือบแก้ว เอามาเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นได้ง่ายๆ เพื่อที่จะได้เป็นข้อมูลสำหรับพิจารณาในการดูแลรถที่ผู้ใช้รถที่อยาก ล้างรถเอง สามารถตัดสินใจได้ว่าแบบไหนมันดีกับเราที่สุด คุ้มค่าหรือไม่ที่เราจะไปทำ เคลือบแก้ว ระหว่างสิ่งที่ได้ กับค่าใช้จ่ายที่เราจ่ายออกไป