คำถามและคำตอบที่พบบ่อยจากผู้ประกอบการและบุคลทั่วไปที่ให้ความสนใจงาน บริการ หรือ ผลิตภัณฑ์สินค้าของ Armor
เคลือบแก้วคืออะไร?
เคลือบแก้ว หรือ Glass Coating หรือ Crystal Coating คือสารเคลือบแข็งที่ถูกทำละลายก่อนนำมาเคลือบบนพื้นผิวรถยนต์ให้ตกผลึกเป็นของแข็งต่อไป สารตั้งต้นหลักๆจะประกอบด้วย ซิลิกา (Sio2) หรือ ๆไทเทเนียม (Tio2) ซึ่งสารทั้งสอบแบบนี้มีคุณสมบัติหลักๆเหมือนกัน ในเรื่องการให้ความแข็ง และความมันวาว จึงทำให้การเคลือบแก้วเป็นที่นิยมนำมาปกป้องสีรถเพราะนอกจะปกป้องพื้นผิวรถยนต์จากมลภาวะได้ดีแล้ว ยังช่วยเพิ่มให้สีรถส่องสว่างเป็นประกายได้มากขึ้นอีกด้วย
เคลือบแก้วราคาเท่าไร?
ราคาเคลือบแก้วในท้องตลาดอาจเห็นว่ามีราคาเริ่มแบบถูกๆตั้งแต่ 7-8 พัน สูงขึ้นไปจนถึงหลักหลายๆหมื่นจนเป็นแสนๆผู้บริโภคควรทำความเข้าใจในการกำหนดราคาบริการเคลือบแก้วด้วยสิ่งที่จะได้รับกลับมาจากผู้ให้บริการ เช่น จุดเด่นคุณสมบัติของน้ำยาที่ใช้คืออะไรบ้าง? ทำชิ้นส่วนไหนของรถยนต์ให้บ้าง? ขั้นตอนการเตรียมพื้นผิวมีอะไรบ้าง? ตลอดจน บริการหลังการขายมีอะไรบ้าง? เสียค่าใช้จ่ายหรือไม่อะไรบ้าง? เป็นต้น เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ผู้สนใจทำเคลือบแก้วจะได้นำราคามาเปรียบเทียบต่อความคุ้มค่าในราคาที่เสียไปนั่นเอง
เคลือบแก้วดีอย่างไร?
ข้อดีของการเคลือบแก้ว คือเหมาะสำหรับผู้ใช้รถที่ไม่ค่อยมีเวลารักษาสภาพสีรถเท่าที่ควร เพื่อปกป้องสภาพสีรถจากมลภาวะต่างๆ สามารถป้องกันการขูดขีด คราบสกปรกฝังลึกได้อย่างดีเยี่ยม(ขึ้นอยู่ที่ประสิทธิภาพของน้ำยาที่ใช้) ดูและรักษาความสะอาดได้อย่างง่ายดาย
เคลือบแก้วอยู่ได้นานเท่าไร?
ระยะเวลาการปกป้องของสารเคลือบแก้ว ขึ้นอยู่กับสามส่วนหลักๆ คือความเข้มข้นของสารตั้งต้นที่เป็นผลึกแข็ง สูตรหรือเทคนิคในการเคลือบ และการบำรุงรักษา การเคลือบแก้วบางสูตรอาจอยู่ได้ 1-3 ปี บางสูตรอยู่ได้ยาวนานถึง 5 ปีหรือกึ่งถาวรเลยทีเดียว ส่วนในการบำรุงรักษา เคลือบแก้วบางสูตรที่มีประสิทธิภาพสูง น้ำยาเคลือบแก้วส่วนที่เป็นผลึกแข็งและให้ความมันวาวสามารถอยู่ได้ยาวนานถาวร แต่ส่วนประสิทธิภาพการไล่น้ำ หรือความลื่น อาจหย่อนลงไปเรื่อยๆขึ้นอยู่กับการบำรุงรักษา และการใช้งาน เป็นต้น
คุณสมบัติของน้ำยาเคลือบแก้วมีอะไรบ้าง?
คุณสมบัติทั่วไปตามท้องตลาดที่มีการประชาสัมพันธ์และสามารถวัดค่าได้ คือ ค่าความแข็งหลังจากตกผลึกแล้ว จะเห็นอยู่ที่ระหว่าง 6-9H (H=Hardness) ความหนาซึ่งวัดกันในระดับไมครอน (1ไมครอน=1/1,000,000เมตร) ส่วนค่าความลื่น หรือองศาไล่น้ำนั้นวัดกันที่ความกลมของเม็ดน้ำ จะเห็นอยู่ที่ระหว่าง 90-140 องศาไล่น้ำ นอจากนั้นยังมีคุณสมบัติอื่นๆที่ใช้ในการปกป้องต่างๆ เช่น
1. Hydrophobic (ไม่ชอบน้ำ) Hydrophilic (รีดน้ำ หรือชอบน้ำ) ช่วยในการป้องกันคราบสกปรก
2. การลดแรงเสียดทาน (Reducing friction) ช่วยในการปกป้องริ้วรอยขูดขีด
3. ค่าความต่อต้านไฟฟ้าสถิต (Anti-static) ช่วยในการป้องกันคราบสกปรก และไล่ฝุ่นละอองมาติดรถ
หลังจากทำเคลือบแก้วแล้วต้องมา maintennance บ่อยแค่ไหน?
หลังจากทำเคลือบแก้วแล้วควรจะมารับบริการบำรุงรักษาทุกๆ3-4เดือนเพื่อให้ประสิทธิภาพการไล่น้ำยังคงสภาพอยู่ต่อไป
ทำไมจึงควรมีการทำ เคลือบแก้ว ไว้บริการลูกค้า?
เหตุผลที่คาร์แคร์ควรมีโปรแกรมเคลือบแก้วไว้บริการลูกค้า เพราะจะทำให้เพิ่มประโยชน์หลายอย่าง เช่น
1. เพิ่มรายได้ให้แก่คาร์แคร์ ลองคำนวณว่ารายได้ระหว่าง 15,000-45,000 (ตามสูตรผลิตภัณฑ์ หรือระบบขั้นตอน เช่น ระบบทาหรือระบบพ่น เป็นต้น) เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับค่าบริการสำหรับล้างสีดูดฝุ่น เคลือบแก้ว 1 คันอาจสามารถสร้างมูลค่าเทียบเท่าหรือมากกว่าล้างรถ-ดูดฝุ่นต่อทั้งสัปดาห์เลยทีเดียว
2. เสริมภาพลักษณ์ ให้แก่คาร์แคร์ หากคาร์แคร์ที่ใดมีห้องกระจกปลอดฝุ่นสำหรับการทำเคลือบแก้ว นั่นจะเสริมภาพลักษณ์ได้เป็นอย่างดีประหนึ่งว่าคาร์แคร์ของท่านมีห้องที่กึ่งเป็นโชว์รูมรถยนต์ย่อยๆไว้โชว์รถสวยๆเวลาทำเสร็จแล้วจอดโชว์ระหว่างรอลูกค้ามารับรถได้เลยทีเดียว
3. เสริมความเชื่อถือด้านคุณภาพในการบริการด้านต่างๆไปในตัว เนื่องจากขั้นตอนการเคลือบแก้ว มีกระบวนการที่ซับซ้อนและมีความพิถีพิถันเป็นอย่างมาก และขั้นตอนต่างๆเหล่านั้นจะถูกเริ่มตั้งแต่การล้างสลายคราบครบชุด จนถึงการขัดฟื้นฟูพื้นผิวรถยนต์เต็มระบบ นั่นทำให้คาร์แคร์ที่โปรแกรมเคลือบแก้วไว้บริการ จะสามารถนำขั้นตอนที่พิถีพิถันเหล่านี้มาปรับใช้กับโปรแกรมบริการอื่นๆได้อย่างพิถีพิถันมากขึ้นได้อีกด้วย
ใช้เวลามากหรือไม่ในการฝึกหัดบุคลากรให้ชำนาญในการทำ เคลือบแก้ว?
การฝึกบุคลากรในการทำเคลือบแก้วนั้น ปัจจัยสำคัญหลักขึ้นอยู่กับประสบการณ์ หากมีประสบการณ์การขัดสีมามากอยู่แล้ว อาจใช้การฝึกอบรมเพียง 2 คัน หรือประมาณ 20 ชม. ก็สามารถรับผิดชอบโปรแกรมการเคลือบแก้ว โดยอาศัยดูหลักสูตรขั้นตอนประกอบไปด้วยได้แล้ว แต่หากยังไม่มีประสบการณ์ขัดสีมาเลย จำเป็นต้องปูพื้นฐานการขัดอีกอย่างน้อยประมาณ 10 ชม.
ควรนำเสนอบริการ เคลือบแก้ว อย่างไรให้ลูกค้าสนใจ?
ผู้นำเสนอจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในพื้นฐานก่อนนำเสนอโปรแกรมเคลือบแก้วดังนี้
1. ด้านคุณสมบัติ ไม่ว่าความหนาของชั้นฟิล์ม ความแข็ง ความลื่น องศาไล่น้ำ การลดแรงเสียดทาน การต่อต้านไฟฟ้าสถิต หรืออื่นๆ ว่าทั้งหมดมีค่าออกมาประมาณเท่าใด และสามารถปกป้องสีรถจากมลภาวะต่างๆได้อย่างไรบ้าง รวมถึงข้อจำกัดต่างๆมีอะไรบ้างเป็นต้น
2. ด้านกระบวนการ ผู้นำเสนอจำเป็นจะต้องมีความเข้าใจในกระบวนการ และเทคนิคเฉพาะคร่าวๆในการทำเคลือบแก้ว เพื่อนำมาอธิบายเหตุผลให้ผู้รับบริการเข้าใจเพื่อทราบถึงความคุ้มค่าต่อราคาที่เสียไป
3. ความเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติที่มาจากผลิตภัณฑ์หรือเทคนิคกระบวนการ ที่ชี้ให้เห็นว่า จุดเด่นในการให้บริการของคาร์แคร์นั้นๆคืออะไร เหตุใดผู้รับบริการจำเป็นต้องเข้ามารับบริการกับคาร์แคร์นั้นๆ
4. การบริการหลังการขาย สิ่งที่ผู้รับบริการจะต้องรู้เพื่อการบำรุงรักษาในระยะยาว
อุปกรณ์ที่ควรมีในการให้บริการทำเคลือบแก้ว รถยนต์ ?
1. อุปกรณ์ในการทำเคลือบแก้วพื้นฐานที่จำเป็นต้องมีนอกจากชุดผลิตภัณฑ์ของน้ำยาเคลือบแก้วแล้ว เช่น
a. เครื่องขัดสี Rotary รอบบิดไม่ควรต่ำกว่า 2,000/Min
b. ฟองน้ำขัดสีจากหยาบไปละเอียดอย่างน้อย 3 ระดับ
c. น้ำยาขัดคุณภาพดีในกลุ่ม Water Base
d. กระดาษกาวคุณภาพสูง
2. รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆทีสำหรับงานเทคนิคโดยเฉพาะ เช่น
a. ไฟสปอตไลท์สำหรับการขัดลบรอย
b. น้ำยา หรือดินน้ำมันสำหรับงานสลายคราบ
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่ที่สูตรกระบวนการทำเคลือบแก้ว หากมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ หรือผลิตภัณฑ์เฉพาะที่หลากหลายมากขึ้นไปอี
น้ำยาเคลือบแก้ว มีกี่แบบ และควรเลือกใช้แบบไหน?
น้ำยาเคลือบแก้วมีหลากหลายชนิดสูตร จะสังเกตได้ว่าบางยี่ห้อ จะแยกระหว่างสำหรับ Home User หรือสำหรับผู้ประกอบการ ที่แยกย่อยเป็นอีกหลายๆสูตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่ความพึงพอใจในการจ่ายต่อคุณภาพของผู้รับบริการ และความเหมาะสมกับสีรถ เช่น สีดำของรถตระกูล Honda จะมีสีดำที่ค่อนข้างสนิททำให้เห็นริ้วรอย หรือที่เราเรียกว่ารอยขนแมวได้ง่าย ดังนั้น ควรเคลือบด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในความแข็ง และการลดแรงเสียดทานสูงๆ จึงจะสามารถป้องกันรอยขีดข่วนได้ดีถึง 70-80% เลยทีเดียว
ใช้เวลาทำเคลือบแก้วนานเท่าไร?
ปกติใช้เวลาในการทำเคลือบแก้ว 1 วัน สามารถนำรถมาไว้ที่ศูนย์และมารับได้ในวันถัดไป ส่วนเวลามารับรถขึ้นอยู่กลับเวลาที่นำรถเข้ามาด้วย โดยปกติจะใช้เวลาทั้งสิ้น 10 ชั่วโมงขึ้นไป