คำถามที่พบบ่อย
เคลือบแก้ว หรือ Glass Coating หรือ Crystal Coating คือสารเคลือบแข็งที่ถูกทำละลายก่อนนำมาเคลือบบนพื้นผิวรถยนต์ให้ตกผลึกเป็นของแข็งต่อไป สารตั้งต้นหลักๆจะประกอบด้วย ซิลิกา (Sio2) หรือ ๆไทเทเนียม (Tio2) ซึ่งสารทั้งสอบแบบนี้มีคุณสมบัติหลักๆเหมือนกัน ในเรื่องการให้ความแข็ง และความมันวาว จึงทำให้การเคลือบแก้วเป็นที่นิยมนำมาปกป้องสีรถเพราะนอกจะปกป้องพื้นผิวรถยนต์จากมลภาวะได้ดีแล้ว ยังช่วยเพิ่มให้สีรถส่องสว่างเป็นประกายได้มากขึ้นอีกด้วย
ราคาเคลือบแก้วในท้องตลาดอาจเห็นว่ามีราคาเริ่มแบบถูกๆตั้งแต่ 7-8 พัน สูงขึ้นไปจนถึงหลักหลายๆหมื่นจนเป็นแสนๆผู้บริโภคควรทำความเข้าใจในการกำหนดราคาบริการเคลือบแก้วด้วยสิ่งที่จะได้รับกลับมาจากผู้ให้บริการ เช่น จุดเด่นคุณสมบัติของน้ำยาที่ใช้คืออะไรบ้าง? ทำชิ้นส่วนไหนของรถยนต์ให้บ้าง? ขั้นตอนการเตรียมพื้นผิวมีอะไรบ้าง? ตลอดจน บริการหลังการขายมีอะไรบ้าง? เสียค่าใช้จ่ายหรือไม่อะไรบ้าง? เป็นต้น เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ผู้สนใจทำเคลือบแก้วจะได้นำราคามาเปรียบเทียบต่อความคุ้มค่าในราคาที่เสียไปนั่นเอง
ข้อดีของการเคลือบแก้ว คือเหมาะสำหรับผู้ใช้รถที่ไม่ค่อยมีเวลารักษาสภาพสีรถเท่าที่ควร เพื่อปกป้องสภาพสีรถจากมลภาวะต่างๆ สามารถป้องกันการขูดขีด คราบสกปรกฝังลึกได้อย่างดีเยี่ยม(ขึ้นอยู่ที่ประสิทธิภาพของน้ำยาที่ใช้) ดูและรักษาความสะอาดได้อย่างง่ายดาย
คุณสมบัติทั่วไปตามท้องตลาดที่มีการประชาสัมพันธ์และสามารถวัดค่าได้ คือ ค่าความแข็งหลังจากตกผลึกแล้ว จะเห็นอยู่ที่ระหว่าง 6-9H (H=Hardness) ความหนาซึ่งวัดกันในระดับไมครอน (1ไมครอน=1/1,000,000เมตร) ส่วนค่าความลื่น หรือองศาไล่น้ำนั้นวัดกันที่ความกลมของเม็ดน้ำ จะเห็นอยู่ที่ระหว่าง 90-140 องศาไล่น้ำ นอจากนั้นยังมีคุณสมบัติอื่นๆที่ใช้ในการปกป้องต่างๆ เช่น
- Hydrophobic (ไม่ชอบน้ำ) Hydrophilic (รีดน้ำ หรือชอบน้ำ) ช่วยในการป้องกันคราบสกปรก
- การลดแรงเสียดทาน (Reducing friction) ช่วยในการปกป้องริ้วรอยขูดขีด
- ค่าความต่อต้านไฟฟ้าสถิต (Anti-static) ช่วยในการป้องกันคราบสกปรก และไล่ฝุ่นละอองมาติดรถ
หลังจากทำเคลือบแก้วแล้วควรจะมารับบริการบำรุงรักษาทุกๆ3-4เดือนเพื่อให้ประสิทธิภาพการไล่น้ำยังคงสภาพอยู่ต่อไป
เหตุผลที่คาร์แคร์ควรมีโปรแกรมเคลือบแก้วไว้บริการลูกค้า เพราะจะทำให้เพิ่มประโยชน์หลายอย่าง เช่น
- เพิ่มรายได้ให้แก่คาร์แคร์ ลองคำนวณว่ารายได้ระหว่าง 15,000-45,000 (ตามสูตรผลิตภัณฑ์ หรือระบบขั้นตอน เช่น ระบบทาหรือระบบพ่น เป็นต้น) เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับค่าบริการสำหรับล้างสีดูดฝุ่น เคลือบแก้ว 1 คันอาจสามารถสร้างมูลค่าเทียบเท่าหรือมากกว่าล้างรถ-ดูดฝุ่นต่อทั้งสัปดาห์เลยทีเดียว
- เสริมภาพลักษณ์ ให้แก่คาร์แคร์ หากคาร์แคร์ที่ใดมีห้องกระจกปลอดฝุ่นสำหรับการทำเคลือบแก้ว นั่นจะเสริมภาพลักษณ์ได้เป็นอย่างดีประหนึ่งว่าคาร์แคร์ของท่านมีห้องที่กึ่งเป็นโชว์รูมรถยนต์ย่อยๆไว้โชว์รถสวยๆเวลาทำเสร็จแล้วจอดโชว์ระหว่างรอลูกค้ามารับรถได้เลยทีเดียว
- เสริมความเชื่อถือด้านคุณภาพในการบริการด้านต่างๆไปในตัว เนื่องจากขั้นตอนการเคลือบแก้ว มีกระบวนการที่ซับซ้อนและมีความพิถีพิถันเป็นอย่างมาก และขั้นตอนต่างๆเหล่านั้นจะถูกเริ่มตั้งแต่การล้างสลายคราบครบชุด จนถึงการขัดฟื้นฟูพื้นผิวรถยนต์เต็มระบบ นั่นทำให้คาร์แคร์ที่โปรแกรมเคลือบแก้วไว้บริการ จะสามารถนำขั้นตอนที่พิถีพิถันเหล่านี้มาปรับใช้กับโปรแกรมบริการอื่นๆได้อย่างพิถีพิถันมากขึ้นได้อีกด้วย
การฝึกบุคลากรในการทำเคลือบแก้วนั้น ปัจจัยสำคัญหลักขึ้นอยู่กับประสบการณ์ หากมีประสบการณ์การขัดสีมามากอยู่แล้ว อาจใช้การฝึกอบรมเพียง 2 คัน หรือประมาณ 20 ชม. ก็สามารถรับผิดชอบโปรแกรมการเคลือบแก้ว โดยอาศัยดูหลักสูตรขั้นตอนประกอบไปด้วยได้แล้ว แต่หากยังไม่มีประสบการณ์ขัดสีมาเลย จำเป็นต้องปูพื้นฐานการขัดอีกอย่างน้อยประมาณ 10 ชม.
ผู้นำเสนอจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในพื้นฐานก่อนนำเสนอโปรแกรมเคลือบแก้วดังนี้
- ด้านคุณสมบัติ ไม่ว่าความหนาของชั้นฟิล์ม ความแข็ง ความลื่น องศาไล่น้ำ การลดแรงเสียดทาน การต่อต้านไฟฟ้าสถิต หรืออื่นๆ ว่าทั้งหมดมีค่าออกมาประมาณเท่าใด และสามารถปกป้องสีรถจากมลภาวะต่างๆได้อย่างไรบ้าง รวมถึงข้อจำกัดต่างๆมีอะไรบ้างเป็นต้น
- ด้านกระบวนการ ผู้นำเสนอจำเป็นจะต้องมีความเข้าใจในกระบวนการ และเทคนิคเฉพาะคร่าวๆในการทำเคลือบแก้ว เพื่อนำมาอธิบายเหตุผลให้ผู้รับบริการเข้าใจเพื่อทราบถึงความคุ้มค่าต่อราคาที่เสียไป
- ความเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติที่มาจากผลิตภัณฑ์หรือเทคนิคกระบวนการ ที่ชี้ให้เห็นว่า จุดเด่นในการให้บริการของคาร์แคร์นั้นๆคืออะไร เหตุใดผู้รับบริการจำเป็นต้องเข้ามารับบริการกับคาร์แคร์นั้นๆ
- การบริการหลังการขาย สิ่งที่ผู้รับบริการจะต้องรู้เพื่อการบำรุงรักษาในระยะยาว
อุปกรณ์ในการทำเคลือบแก้วพื้นฐานที่จำเป็นต้องมีนอกจากชุดผลิตภัณฑ์ของน้ำยาเคลือบแก้วแล้ว เช่น a. เครื่องขัดสี Rotary รอบบิดไม่ควรต่ำกว่า 2,000/Min b. ฟองน้ำขัดสีจากหยาบไปละเอียดอย่างน้อย 3 ระดับ c. น้ำยาขัดคุณภาพดีในกลุ่ม Water Base d. กระดาษกาวคุณภาพสูง 2. รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆทีสำหรับงานเทคนิคโดยเฉพาะ เช่น a. ไฟสปอตไลท์สำหรับการขัดลบรอย b. น้ำยา หรือดินน้ำมันสำหรับงานสลายคราบ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่ที่สูตรกระบวนการทำเคลือบแก้ว หากมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ หรือผลิตภัณฑ์เฉพาะที่หลากหลายมากขึ้นไปอี
น้ำยาเคลือบแก้วมีหลากหลายชนิดสูตร จะสังเกตได้ว่าบางยี่ห้อ จะแยกระหว่างสำหรับ Home User หรือสำหรับผู้ประกอบการ ที่แยกย่อยเป็นอีกหลายๆสูตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่ความพึงพอใจในการจ่ายต่อคุณภาพของผู้รับบริการ และความเหมาะสมกับสีรถ เช่น สีดำของรถตระกูล Honda จะมีสีดำที่ค่อนข้างสนิททำให้เห็นริ้วรอย หรือที่เราเรียกว่ารอยขนแมวได้ง่าย ดังนั้น ควรเคลือบด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในความแข็ง และการลดแรงเสียดทานสูงๆ จึงจะสามารถป้องกันรอยขีดข่วนได้ดีถึง 70-80% เลยทีเดียว
ปกติใช้เวลาในการทำเคลือบแก้ว 1 วัน สามารถนำรถมาไว้ที่ศูนย์และมารับได้ในวันถัดไป ส่วนเวลามารับรถขึ้นอยู่กลับเวลาที่นำรถเข้ามาด้วย โดยปกติจะใช้เวลาทั้งสิ้น 10 ชั่วโมงขึ้นไป